เกี่ยวกับเรา

เหตุการณ์สำคัญ

  1. TNDT

    ปี 2525

    ก่อตั้ง บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2525 ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) โดยกลุ่มนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของการตรวจสอบแบบ NDT โดยเฉพาะการตรวจสอบทางวิศวกรรมและการตรวจสอบแรงดัน การแลกความร้อน เครื่องทำน้ำร้อน ท่อและโครงสร้างในอุตสาหกรรมโรงกลั่น โรงไฟฟ้า โรงงานปิโตรเคมี งานสร้างเรือ งานนอกชายฝั่ง งานก่อสร้างสะพานและอาคาร และธุรกิจหนักอื่นๆ

  2. ปี 2527

    วันที่ 17 สิงหาคม 2527 เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) โดยเรียกชำระเต็มมูลค่า

  3. ปี 2532

    บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจให้เข้าดำเนินงานด้านการทดสอบและตรวจสอบความปลอดภัยด้วยเทคนิดไม่ทำลาย (NDT) ให้แก่บริษัท ไทย นิปปอน สตีล เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชัน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับเหมาในส่วนของการก่อสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล (Off-Shore) ให้กับ บริษัท ยูโนแคล (ประเทศไทย) จำกัด

    และในปีเดียวกันบริษัทฯ ได้ก่อตั้งสำนักงานสาขาแห่งแรกที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรองรับการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าบริเวณพื้นที่ดังกล่าว

  4. ปี 2533

    บริษัทฯ ได้ย้ายที่ตั้งสำนักงานจาก เลขที่ 7/1 สุขุมวิท ซอย 3 นานาเหนือ ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพฯ มายังที่ตั้งสำนักงานปัจจุบัน เลขที่ 19 ซอยสวนสน 8 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เพื่อขยายพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้นและสะดวกต่อการติดต่อกับหน่วยงานและกลุ่มลูกค้าที่ให้บริการ

  5. ปี 2534

    บริษัทฯ ได้ลงนามในข้อตกลงกับ Korea Inspection and Engineering Company Limited (KIECO) เพื่อความร่วมมือและสนับสนุนซึ่งกันและกันในการทำงานด้านการให้บริการตรวจสอบและทดสอบด้วยเทคนิค NDT และ Inspection ให้กับลูกค้าภายในประเทศและต่างประเทศ

  6. ปี 2537

    วันที่ 21 พฤศจิกายน 2537 บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน)  เป็น 6,000,000 บาท (หกล้านบาทถ้วน) โดยเรียกชำระเต็มมูลค่า

  7. ปี 2538

    บริษัทฯ ได้ก่อตั้งสำนักงานสาขาแห่งที่ 2 ที่จังหวัดระยอง เพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่น น้ำมัน ก๊าซ ปิโตรเคมี และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง และก่อตั้งสำนักงานสาขาแห่งที่ 3 ที่อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อรองรับการให้บริการแก่อุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันให้แก่ Thai Shell Exploration & Production Co., Ltd. ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด

  8. ปี 2542

    บริษัทฯ ได้ก่อตั้งสำนักงานสาขาแห่งที่ 4 ที่อำเภอเขาหินซ้อน จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อรองรับการให้บริการแก่ บริษัท วัฒนไพศาลเอ็นยิเนียริ่ง จำกัด และบริษัทต่างๆ ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว 

  9. ปี 2543

    บริษัทฯ ได้ก่อตั้งสำนักงานสาขาแห่งที่ 5 ที่อำเภอแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับการให้บริการแก่ UCU Aliance ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น CUEL Company Limited นอกจากนี้ยังให้บริการแก่ Unithai Shipyard Engineering Company Limited และบริษัทต่างๆ ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว

    วันที่ 8 มิถุนายน 2543 บริษัทฯ ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัทจากประเทศอังกฤษ ภายใต้ชื่อ "บริษัท โอ. ไอ. เอส. (ประเทศไทย) จำกัด" ซึ่งมี OIS International Inspection PLC เป็นบริษัทแม่ที่ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ เพื่อร่วมมือทำงานและถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานด้าน NDT และเทคโนโลยีชั้นสูง (Advanced Technology) ให้กับบริษัทฯ ด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัท โอ. ไอ. เอส. (ประเทศไทย) จำกัด ได้หยุดการดำเนินการในปี 2558 แล้ว 

  10. ปี 2545

    วันที่ 24 มิถุนายน บริษัทฯ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 6,000,000 บาท (หกล้านบาทถ้วน) เป็น 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) โดยจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนเพิ่มเท่ากับ 440,000 หุ้น มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท รวม 44,000,000 บาท (สี่สิบสี่ล้านบาทถ้วน) โดยเรียกชำระค่าหุ้นบางส่วนเท่ากับ 15,400,000 บาท (สิบห้าล้านสี่แสนบาทถ้วน) ส่งผลให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 21,400,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านสี่แสนบาทถ้วน) ทั้งนี้ การเพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับของกรมธุรกิจพลังงานที่กำหนดให้นิติบุคคลที่ขึ้นทะเบียนประเภทที่ 1 ต้องมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน)

  11. ปี 2546

    วันที่ 26 พฤศจิกายน บริษัทฯ ได้เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มเติมอีก 3,740,000 บาท (สามล้านเจ็ดแสนสี่หมื่นบาทถ้วน) จาก 21,400,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านสี่แสนบาทถ้วน) ส่งผลให้บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 25,140,000 บาท (ยี่สิบห้าล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถ้วน) จากจำนวนทุนจดทะเบียน 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้ขยายธุรกิจในส่วนของสำนักงานและเตรียมการฝึกอบรมเพื่อเสริมทักษะให้กับบุคลากรของบริษัทฯ

  12. ปี 2547

    วันที่ 16 ธันวาคม บริษัทฯ ได้ลงนามในข้อตกลงกับฝ่ายก่อสร้างพลังความร้อนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อความร่วมมือในงานด้านการทดสอบโดยไม่ทำลาย (Nondestructive testing) โดยสนับสนุนการจัดหาบุคลากรและเครื่องมือ รวมถึงให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและทางวิชาการให้แก่กัน ตามที่ตกลงกันในแต่ละโครงการ

    วันที่ 28 ธันวาคม บริษัท ได้เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มเติมอีก 2,860,000 บาท (สองล้านแปดแสนหกหมื่นบาทถ้วน) จาก 25,140,000 บาท (ยี่สิบห้าล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถ้วน) ส่งผลให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 28,000,000 บาท (ยี่สิบแปดล้านบาทถ้วน) จากจำนวนทุนจดทะเบียน 50,00,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมภายในและจัดซื้ออุปกรณ์ในการทำงานเพิ่มเติมเพื่อรองรับการขยายงาน

  13. ปี 2548

    วันที่ 20 พฤษภาคม บริษัทฯ ได้เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มเติมอีก 2,200,000 บาท (สองล้านสองแสนบาทถ้วน) จาก 28,000,000 บาท (ยี่สิบแปดล้านบาทถ้วน) เป็น 30,200,000 บาท (สามสิบล้านสองแสนบาทถ้วน) จากจำนวนทุนจดทะเบียน 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้เพื่อนำเงินไปใช้ขยายธุรกิจและจัดซื้ออุปกรณ์ให้เพียงพอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น และในปีนี้บริษัทฯ ได้ก่อตั้งสำนักงานสาขาแห่งที่ 6 ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

  14. ปี 2549

    วันที่ 24 เมษายน บริษัทฯ ได้เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มเติมอีก 19,800,000 บาท (สิบเก้าล้านแปดแสนบาทถ้วน) จาก 30,200,000 บาท (สามสิบล้านสองแสนบาทถ้วน) เป็น 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) โดยเรียกชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า เพื่อนำเงินไปใช้ขยายธุรกิจและลงทุนในการทำงานด้าน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูง (Advanced Technology)

    ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 9/2549 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2549 มีมติพิเศษให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญของบริษัทฯ จากมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เป็น 70,000,000 บาท (เจ็ดสิบล้านบาทถ้วน)

    วันที่ 14 ธันวาคม บริษัทฯ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เป็น 70,000,000 บาท (เจ็ดสิบล้านบาทถ้วน) แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 7 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดยเรียกชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า ทั้งนี้การเพิ่มทุนดังกล่าวเป็นการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมทั้งจำนวน

    ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 11/2549 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 มีมติพิเศษให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 70,000,000 บาท (เจ็ดสิบล้านบาทถ้วน) เป็น 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 8 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดยเรียกชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า ทั้งนี้การเพิ่มทุนดังกล่าว เพื่อขายให้กับกองทุนรวมเพื่อร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

  15. ปี 2550

    ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ /2550 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2550 มีมติพิเศษให้บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) และมีมติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญของบริษัทฯ จากมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ1 บาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 100,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 100,000,000 หุ้น โดยมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วจำนวน 80,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีหุ้นที่ยังไม่ได้เรียกชำระจำนวน 20,000,000 หุ้น ซึ่งมีหุ้นเพิ่มทุนที่ยังไม่ได้เรียกชำระจำนวน 20,000,000 หุ้น นั้น ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้จัดสรรไว้สำหรับการเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป

    วันที่ 9 เมษายน 2550 บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพิ่มทุน จดทะเบียนของบริษัทฯ เป็น 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 100,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และดำเนินการแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน)

    วันที่ 28 กันยายน 2550 บริษัทฯ เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ด้วยทุนจดทะเบียนชำระเต็ม 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน)

  16. ปี 2551

    บริษัทฯ ซื้อที่ดิน ต.มาบตาพุด จ.ระยอง เพื่อก่อสร้างสำนักงานสาขาระยองแห่งใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 4 ไร่ 45.9 ตารางวา มีเนื้อที่ใช้สอย 2,500 ตารางเมตร โดยให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อมและมลภาวะ จึงมีพื้นที่สีเขียวกว่า 75% ของพื้นที่ทั้งหมดของบริษัทฯ 

  17. ปี 2552

    บริษัทฯ ได้รับสิทธิส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2552 เป็นระยะเวลา 8 ปี

  18. ปี 2553

    การขยายสำนักงานสาขา 
    บริษัทฯ ดำเนินการก่อสร้างสำนักงานสาขา ต.มาบตาพุด จ.ระยอง แล้วเสร็จในปี 2553 พื้นที่ใช้สอยในส่วนสำนักงานทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ตารางเมตร

    ขยายการให้บริการ
    บริษัทฯ ขยายการให้บริการด้วยเทคนิคขั้นสูง (Advanced Technology) และได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้ เช่น เทคนิค AE, MFL, RBI, ET, PA เป็นต้น

    ขยายกลุ่มเป้าหมาย
    บริษัทฯ ได้เตรียมการขยายการให้บริการตรวจสอบให้ด้านสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีโอกาสเติบโตต่อไปได้ดี ในอนาคต เช่น อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน อาคาร ระบบคมนาคม ระบบขนส่ง เป็นต้น

  19. ปี 2554

    ขยายการให้บริการ

    - บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2008 และเตรียมระบบมาตรฐาน ISO17020

    - เปิดสำนักงานสาขา ตำบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554

    - วันที่ 15 สิงหาคม 2554 จัดตั้งบริษัทลูก คือ บริษัท แอลทีเอ็นดีที จำกัด หรือ LTNDT ขึ้น ณ บ้านหนองด้วง เมืองสีโคตรบอง นครหลวงเวียงจันทร์ ด้วยทุนจดทะเบียน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนและถือหุ้นในอัตราร้อยละ 70 และบริษัทในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวโยงกัน ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 30 ของทุนชำระแล้ว วัตถุประสงค์เพื่อให้บริการตรวจสอบโดยไม่ทำลายและบริการทดสอบอื่นๆ เช่น ถังน้ำมันและถังแก๊ส เป็นต้น โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จาก สปป.ลาว เป็นระยะเวลา 15 ปี

    การวิจัยและพัฒนา
    ส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือ และนำมาให้บริการทดสอบชิ้นงาน ในที่สุดได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่ใช้ในการทดสอบ ได้รับความพึงพอใจในการให้บริการจากลูกค้ามากขึ้น และประหยัดเงินตราจากการนำเข้าเครื่องมือจากต่างประเทศ

  20. ปี 2555

    ขยายการให้บริการ
    1.ขยายการให้บริการด้วยเทคนิค NDT ขั้นสูง (Advanced Technology) เพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า จากปี พ.ศ. 2554 เนื่องจากลูกค้ามีการยอมรับในด้านเทคนิคและศักยภาพการให้บริการของบริษัทฯ มากขึ้น
    2.ขยายงานด้านการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า รวมถึงงานการตรวจสอบอุปกรณ์ เครื่องจักรหอกลั่น และวาระการตรวจสอบประจำปีของลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมี ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 40% จากปี พ.ศ. 2554 
    3.ขยายงานในด้านการตรวจสอบ (Inspection) โดยบริษัทฯ สามารถเข้ามามีส่วนแบ่งการตลาดในส่วนนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปี พ.ศ. 2554

    การพัฒนาและวิจัย
    บริษัทฯ ได้เพิ่มการส่งเสริมและสนับสนุนในด้านการวิจัยและพัฒนา ทั้งบุคลากรภายในองค์กร และสถาบันการศึกษาในด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ตลอดถึงกระบวนการทางเทคนิคที่สามารถนำมาใช้เสริมด้านการบริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจทั้งภายในและต่างประเทศ

  21. ปี 2556

    เพิ่มสายธุรกิจ

    - จัดตั้งบริษัทลูก คือ บริษัท ทีเอ็นดีที ซีเอ็ม จำกัด (TNDT CM) เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2556 เพื่อเตรียมดำเนินธุรกิจด้านเหมืองถ่านหินและเหมืองหิน ที่ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยลงทุนร่วมกับนักธุรกิจไทย และประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งบริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) (TNDT) ถือหุ้นร้อยละ 46 ของทุนจดทะเบียน 25,000,000 บาท

    - วันที่ 14 กันยายน 2556 ตัวแทนจากบริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) พร้อมผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับ Mr. Sai Tun Yin รัฐมนตรีอุตสาหกรรมและพลังงานไฟฟ้าของรัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เดินทางไปยังท่าขี้เหล็กในรัฐฉาน เพื่อพบกับผู้ปกครองและผู้นำท้องถิ่น พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนท้องถิ่นและบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ ที่จะดำเนินโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและเหมืองถ่านหิน ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น นับเป็นความคืบหน้าของขบวนการ การดำเนินโครงการอีกขั้นตอนหนึ่ง

  22. ปี 2557

    เพิ่มสายธุรกิจ

    วันที่ 30 มิถุนายน 2557 บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุน (Joint Venture) กับพันธมิตรในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ภายใต้ชื่อบริษัท เอ็มเคทีเอ็นดีที จำกัด (MKTNDT) เพื่อดำเนินธุรกิจทางด้านพลังงาน และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยลงทุนร่วมกับ Min Khit Thit Mining Company Limited ("MKT") สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ถือหุ้นร้อยละ 45 และบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 55 ของทุนจดทะเบียน 500,000 Kyats (ประมาณ 28,300,000 บาท)

    วันที่ 25 กรกฎาคม 2557 คุณธนรรจ์ ศตวุฒิ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ตัวแทนจากบริษัทฯ ร่วมกับ Mr. Sai Won Pun กรรมการผู้จัดการ และ Mr. Win Lwin Oo กรรมการบริษัท ตัวแทนจาก Min Khit Thit Mining Company ("MKT") และ Mr. Sao Aung Myant หัวหน้าคณะรัฐมนตรีของเมียนมา ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกันเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 20 MW ในรัฐฉาน และเริ่มดำเนินการเตรียมพื้นที่สำหรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า

    วันที่ 14 ตุลาคม 2557 บริษัทฯ ได้ทำประชาพิจารณ์การก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นครั้งที่ 2 (รอบสุดท้าย) โดยมีรีฐมนตรีอุตสาหกรรมและพลังงานไฟฟ้าของรัฐฉานเป็นประธานเช่นที่ผ่านมา 

  23. ปี 2558

    เพิ่มสายธุรกิจ

    วันที่ 27 มกราคม 2558 ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) และวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 ได้ลงนามในสัญญาข้อตกลงความร่วมมือ (MOA) ร่วมกับพันธมิตร บริษัท สวยแม่หละ จำกัด (KNU KNLA/PC) ณ ที่ทำการบริษัท สวยแม่หละ จำกัด ตั้งอยู่เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งถ่านหินและแร่อื่นๆ ในพื้นที่แหล่ง "ทิวาเกะ" บริเวณเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง เนื้อที่ประมาณ 180 ตารางกิโลเมตร หรือ 18,000 เอเคอร์ จึงเร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและแหล่งเงินทุน 

    วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 ตัวแทนจากบริษัทฯ และตัวแทนจาก Min Khit Thit Mining Company Limited (MKT) พันธมิตรทางธุรกิจ ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไฟฟ้าและวิชาการส่วนภูมิภาค กลุ่มรัฐบาลรัฐฉาน เมืองตองยี ได้ร่วมลงนามในสัญญาข้อตกลง (MOA) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ขนาด 20 เมกะวัตต์ ณ เมืองตองยี รัฐฉาน 

    วันที่ 10 มิถุนายน 2558 จัดตั้งบริษัท ทีเอ็นดีที เพาเวอร์ จำกัด ขึ้นเป็นบริษัทย่อย ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท เพื่อรองรับธุรกิจเสริมด้านพลังงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามแผนขยายธุรกิจที่ได้กำหนดไว้ โดยบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 99.97 ของทุนจดทะเบียน

    วันที่ 2 สิงหาคม 2558 ได้ลงนามในสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้า (PPA: Power Purchase Agreement) โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 20 เมกะวัตต์ กับรัฐบาลรัฐฉาน ภายใต้ความเห็นชอบของรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โครงการดังกล่าวได้รับสัมปทานเป็นระยะเวลา 30 ปี และตกลงซื้อขายกันด้วยสกุลเงินบาท

    ขยายฐานธุรกิจ

    ได้มีการขยายฐานธุรกิจตรวจสอบและทดสอบด้วยเทคนิค NDT ไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ.2558 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 2 ไตรมาส แม้ยังมีรายได้ไม่มากนัก แต่มีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

  24. ปี 2559

    บริษัทฯ เป็น 1 ใน 31 บริษัท ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมความสามารถทางนวัตกรรม สำหรับผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) หรือ สนช. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรางวัล “องค์กรนวัตกรรมยอดเยี่ยม ปี 2559” ซึ่งเป็นการยืนยันความเป็นผู้ประกอบการที่มีการจัดการด้านนวัตกรรมในองค์กรเป็นอย่างดี และบริษัทฯ พร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมมือในการพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่ทั้งในและนอกองค์กร เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป

    วันที่ 28 ธันวาคม 2559 โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 20 MW ได้ผ่านการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) จากรัฐบาลท่าขี้เหล็ก และเตรียมการเพื่อขอการรับรอง Myanmar Investment Commission (MIC) ต่อไป

  25. ปี 2560

    วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 บริษัทฯ ได้รับทุนสนับสนุนภายใต้โครงการ “แปลงเทคโนโลยีเป็นทุน” จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามนโยบายส่งเสริมด้านการสร้างนวัตกรรมของรัฐบาล ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ระบบขับเคลื่อนเครื่องเอ็กซเรย์กึ่งอัตโนมัติสำหรับกระบวนการตรวจสอบแนวรอยเชื่อมท่อลำเลียงน้ำมันและก๊าซ โดยเทคนิคไม่ทำลาย” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพด้านความเร็วที่สูงกว่าเทคนิคเดิมถึง 20 เท่า และด้วยลักษณะการขับเคลื่อนของนวัตกรรมชิ้นนี้มีทั้งความคงที่ (Steadily) สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง (Continuous) ตลอดการใช้งาน ส่งผลต่อความแม่นยำของผลทดสอบ และความปลอดภัยจากการปฏิบัติงานภาคสนาม นอกจากนี้ การใช้พลังงานสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามาทดแทนการใช้รังสีบางส่วน เป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัยจากผลกระทบด้านรังสีทั้งผู้ปฏิบัติงาน ผู้เกี่ยวข้อง และสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกด้วย

    วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 บริษัทฯ ได้รับมอบใบรับรองระบบงานหน่วยตรวจสอบประเภท A - มอก.17020-2556 (ISO/IEC 17020:2012) จากเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นบริษัทแรกในวงการตรวจสอบที่ได้รับใบรับรองนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีโอกาสรับงานในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าจากต่างประเทศ

  26. ปี 2561

    มกราคม 2561 บริษัทฯ ได้รับเอกสารรับรองของ Myanmar Investment Commission (MIC) ในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 20 MW ที่เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งได้มีการร่างแผนกำหนด Terms of Reference (TOR) เพื่อใช้ในการคัดสรรผู้ก่อสร้างโครงการฯ ต่อไป

    พฤศจิกายน 2561 บริษัทฯ เพิ่มสายธุรกิจไปยังกลุ่มพลังงานสะอาด โดยเริ่มดำเนินโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ภายในประเทศ จำนวน 2 โครงการ 

    12 ธันวาคม 2561 บริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ บริษัท CGN Dasheng Electron Accelerator Technology จำกัด เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและการสร้างนวัตกรรมจากคุณสมบัติของลำแสงอิเล็กตรอน (Electron Beam) มาเป็นสารตั้งต้นเพ่อใช้ในทางการแพทย์ อุตสาหกรรม การเกษตร และสาธารณสุข รวมถึงด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มของผลผลิตให้เป็นแหล่งการเรียนรู้และวิจัยทั้งในประเทศและภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  27. ปี 2562

    10 ตุลาคม 2562 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและซัพพลายเครื่องเร่งอิเล็คตรอน ร่วมกับบริษัท บริษัท CGN Dasheng Electron Accelerator Technology จำกัด และบริษัท แอดวานซ์ สเตอริไลเซชั่น (อีสเทิร์น) จำกัด เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและการสร้างนวัตกรรมจาก “คุณสมบัติของลำแสงอิเล็กตรอน (Electron Beam)” มาเป็นสารตั้งต้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และสินค้าทางการแพทย์ อุตสาหกรรม การเกษตร สาธารณสุข รวมถึงด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้พื้นที่ของบริษัทฯ ที่จังหวัดระยองเป็นแหล่งการเรียนรู้และวิจัยเพื่อรองรับการพัฒนานวัตกรรมแห่งอนาคตในพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นแห่งแรกในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)

  28. ปี 2563 

    บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการใช้ประโยชน์ทางเทคโนโลยีนิวเคลียร์ กับ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 เพื่อการทำงานแบบบูรณาการด้านการพัฒนาการใช้งานทางเทคโนโลยีนิวเคลียร์ การสร้างนวัตกรรม การให้บริการ การผลิตเครื่องมือ อุปกรณ์ วัสดุที่เกี่ยวกับรังสี รวมถึงเครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอนสำหรับประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้า สามารถตอบสนองความต้องการทั้งภายในประเทศและโอกาสแข่งขันในระดับสากลต่อไป

  29. ปี 2562

    10 ตุลาคม 2562 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและซัพพลายเครื่องเร่งอิเล็คตรอน ร่วมกับบริษัท บริษัท CGN Dasheng Electron Accelerator Technology จำกัด และบริษัท แอดวานซ์ สเตอริไลเซชั่น (อีสเทิร์น) จำกัด เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและการสร้างนวัตกรรมจาก “คุณสมบัติของลำแสงอิเล็กตรอน (Electron Beam)” มาเป็นสารตั้งต้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และสินค้าทางการแพทย์ อุตสาหกรรม การเกษตร สาธารณสุข รวมถึงด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้พื้นที่ของบริษัทฯ ที่จังหวัดระยองเป็นแหล่งการเรียนรู้และวิจัยเพื่อรองรับการพัฒนานวัตกรรมแห่งอนาคตในพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นแห่งแรกในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)